ในช่วงสายของวันนี้ (เวลาประมาณ 11:00 น.) บรรยากาศที่โรงพยาบาลตำรวจถูกย้อมไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อผู้ป่วย ญาติ และบุคลากรทางการแพทย์พากันวิ่งลงมาจากตึกด้วยความเร่งรีบ เสียงหวีดร้องและคำพูดที่เต็มไปด้วยความกลัว เช่น “ตึกถล่ม!” หรือ “แผ่นดินไหว!” ดังก้องทั่วบริเวณ ทำให้สถานการณ์ภายในโรงพยาบาลกลายเป็นภาพละครโกลาหลที่ไม่มีใครคาดคิด
เหตุการณ์เริ่มต้นจากความเข้าใจผิดที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว หลายคนเชื่อว่าตึกโรงพยาบาลกำลังจะถล่ม แม้จะไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งบอกถึงความเสียหายทางกายภาพ แต่ความตื่นตระหนกได้ครอบงำจิตใจผู้คนอย่างฉับพลัน บุคลากรทางการแพทย์บางคนตัดสินใจอพยพผู้ป่วยออกจากห้องพัก โดยใช้เปลสนามและรถเข็นพร้อมเครื่องมือแพทย์ที่ยังคงทำงานอยู่ นำผู้ป่วยออกมาไว้ในพื้นที่โล่งกลางแจ้งเพื่อความปลอดภัย

ตึกเอียงหรือแค่ภาพลวงตา?
ท่ามกลางความโกลาหล พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ รองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ได้รีบออกมาแถลงข่าวผ่านระบบเสียงตามสายบริเวณอาคารมหาภูมิพลราชานสรณ์ 88 พรรษา เพื่อยืนยันว่า “ทุกอย่างปกติดี” และไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นในโครงสร้างของโรงพยาบาล
“ตอนนี้เราได้ตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญแล้ว ตึกและอาคารทั้งหมดแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีสัญญาณใดบ่งชี้ว่าจะเกิดความเสียหาย” พล.ต.ต.สามารถกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เขาเสริมว่า การตื่นตระหนกครั้งนี้อาจเกิดจากการแชร์ข้อมูลผิดพลาดบนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะภาพที่แสดงให้เห็นตึกเอียง ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นตึกของศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลตำรวจเลย และยืนยันว่าตนเองไม่มีคำสั่งให้อพยพผู้ป่วยหรือเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

“ผมขอโทษสำหรับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น และอยากให้ทุกคนเช็กข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำอะไร เพราะการกระทำที่เกิดจากความตื่นตระหนกอาจส่งผลกระทบต่อทุกฝ่ายได้” รองนายแพทย์ใหญ่กล่าวปิดท้าย

เมื่อความกลัวกลายเป็นไวรัส
แม้เหตุการณ์จะสงบลงในเวลาประมาณ 11:10 น. แต่ภาพของการอพยพผู้ป่วยที่นอนบนเปล ขนย้ายด้วยความตื่นตระหนก ยังคงติดตรึงในใจของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ บางคนเล่าว่า “ทุกคนวิ่งเหมือนโลกจะแตก ผมเองก็ตกใจจนแทบร้องไห้” ส่วนแพทย์รายหนึ่งกล่าวว่า “เราแค่พยายามทำในสิ่งที่คิดว่าจะช่วยชีวิตคนไข้ได้ในขณะนั้น”
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงพลังของข้อมูลและความเข้าใจผิดที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล หากขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริง ความตื่นตระหนกอาจกลายเป็น “ไวรัส” ที่สร้างความเสียหายมากกว่าเหตุการณ์จริงเสียอีก

บทสรุปที่ควรเรียนรู้
แม้เหตุการณ์จะจบลงโดยไม่มีผู้บาดเจ็บหรือความเสียหายทางกายภาพ แต่เหตุการณ์นี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ทุกคนควรใส่ใจในการตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อหรือส่งต่อ รวมถึงการควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์วิกฤต เพื่อป้องกันไม่ให้ความตื่นตระหนกกลายเป็นตัวการที่สร้างความเสียหายมากกว่าปัญหาที่แท้จริง
“บางครั้งความกลัวของเรา อาจเป็นภัยที่ใหญ่กว่าสิ่งที่เรากลัวเสียอีก”