เมื่อความไว้ใจถูกหักหลัง: เรื่องราว “พ.ต.ต.” ผู้สวมเครื่องแบบครึ่งท่อนสู่เส้นทางมืดแห่งยาเสพติด
ในยามบ่ายของวันที่ 31 มีนาคม 2568 ท่ามกลางแสงแดดแผดเผาในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา เรื่องราวที่ไม่มีใครคาดคิดได้เกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้ร่วมกันเปิดฉากปฏิบัติการใหญ่เพื่อกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ แต่สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้โดดเด่นและสะเทือนอารมณ์มากกว่าปกติคือ การปรากฏตัวของ “พ.ต.ต.ชัยยะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควรจะเป็นปราการป้องกันอาชญากรรม กลับกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในแก๊งค้ายาเสพติด
เรื่องราวของการทรยศและความโอหัง
ปฏิบัติการครั้งนี้เริ่มต้นจากการสืบทราบของตำรวจภูธรภาค 3 และกองกำลังผสมจากทหารกองทัพภาคที่ 2 ว่าเครือข่ายยาเสพติดชาว สปป.ลาว กำลังลำเลียงยาบ้าจำนวนมหาศาลจากชายแดนจังหวัดมุกดาหารเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศไทย โดยใช้รถยนต์กระบะฟอร์ดเรนเจอร์สีดำและรถยนต์เก๋งโตโยต้าโคโรลล่าอัลติสสีขาวในการขนส่ง
สิ่งที่ทำให้แผนการนี้ดูเหมือนไร้ที่ติคือการที่มี “พ.ต.ต.ชัยยะ” ผู้อยู่ในเครื่องแบบครึ่งท่อน พร้อมห้อยบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้หน้ารถ เพื่อสร้างภาพลวงตาให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์และมีเหตุผลในการเดินทาง ทว่าเบื้องหลังการแต่งกายเช่นนั้นกลับซ่อนความจริงอันดำมืด เมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งที่ขนยาบ้ากว่า 2 ล้านเม็ด ข้ามเขตแดนโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย
การวางแผนและการจับกุม
เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้วางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ โดยสะกดรอยตามรถยนต์สองคันที่ต้องสงสัยตลอดเส้นทาง จากจังหวัดมุกดาหารผ่านกาฬสินธุ์, มหาสารคาม, สุรินทร์, บุรีรัมย์ จนกระทั่งพวกเขามุ่งหน้าสู่อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา
ในช่วงเวลาที่ทีมปฏิบัติการทำการสกัดกั้นบนถนนสายสำคัญ พวกเขาพบหลักฐานชัดเจนภายในรถยนต์ของผู้ต้องหา ทั้งกระสอบสีขาวบรรจุยาบ้าถูกวางซ่อนไว้ที่เบาะหลังและกระโปรงท้ายรถกระบะ อีกทั้งยังตรวจพบโทรศัพท์มือถือหลายเครื่อง ซึ่งคาดว่าใช้ในการประสานงานกับเครือข่ายค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ
แรงบันดาลใจจากความโลภ หรือการทรยศในระบบ?
เมื่อนำตัวผู้ต้องหาทั้งสามคนไปสอบสวน รวมถึง “พ.ต.ต.ชัยยะ” ที่พยายามแสดงความไร้มลทินของตนเอง แต่ความจริงก็ปรากฏชัดเจนว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ติดตาม แต่เป็นหนึ่งในแกนนำที่มีบทบาทสำคัญในการลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในประเทศ ความโอหังของเขาที่คิดว่าเครื่องแบบจะช่วยปกป้องเขาจากการตรวจสอบ กลับกลายเป็นหลักฐานสำคัญที่ประจานถึงความผิดของเขาเอง
เครือข่ายที่ใหญ่กว่าที่คาดคิด
จากการขยายผลของเจ้าหน้าที่ พบว่าเครือข่ายนี้มีการสั่งการมาจาก “ท้าวหิน” ชาวลาว ซึ่งเป็นผู้บงการใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อติดตามจับกุมเครือข่ายที่เหลืออยู่ พร้อมทั้งดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน
บทสรุป
เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญในสงครามยาเสพติด แม้จะมีเจ้าหน้าที่จำนวนมากที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์ แต่ก็ยังมีบางคนที่ยอมขายวิญญาณให้กับความโลภ จนนำไปสู่การทรยศต่อหน้าที่และประชาชน
สำหรับ “พ.ต.ต.ชัยยะ” เขาอาจคิดว่าความเป็นตำรวจจะทำให้เขาปลอดภัยจากเงาร้าย แต่สุดท้ายแล้ว ความจริงก็ไม่เคยปล่อยให้ใครหลุดพ้นจากบาปของตนเอง…